เปรียบเทียบ ระบบการศึกษามัธยม ที่ประเทศอังกฤษ กับ ประเทศสหรัฐอเมริกา - IEC Abroad ศูนย์แนะแนวศึกษาต่อต่างประเทศ
ปรึกษาฟรีก่อนตัดสินใจ
Driven by

ติดต่อเรา :

เปรียบเทียบ ระบบการศึกษามัธยม ที่ประเทศอังกฤษ กับ ประเทศสหรัฐอเมริกา

การตัดสินใจเลือกเรียนต่อมัธยมในต่างประเทศเป็นก้าวสำคัญของน้องๆ ที่ต้องพิจารณาหลายปัจจัย หนึ่งในนั้นคือ ระบบการศึกษาที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศ วันนี้ พี่ๆ IEC Abroad จะเปรียบเทียบระบบการศึกษามัธยมของประเทศอังกฤษและสหรัฐอเมริกา เพื่อให้น้องๆ เข้าใจภาพรวมและเลือกเส้นทางที่เหมาะสมกับตนเอง นั่นเองค่ะ

British Curriculum vs American Curriculum เลือกระหว่างหลักสูตรอังกฤษหรือหลักสูตรอเมริกันอย่างไรให้เหมาะกับเรา?

หนึ่งในคำถามยอดฮิตที่ผู้ปกครองและน้องๆ หลายคนมักถามก่อนตัดสินใจเรียนต่อต่างประเทศก็คือ “ระหว่าง British Curriculum (หลักสูตรอังกฤษ) กับ American Curriculum (หลักสูตรอเมริกัน) ต่างกันอย่างไร และควรเลือกแบบไหนถึงจะเหมาะสมที่สุด?” คำตอบคือ ทั้งสองหลักสูตรมีข้อดีและจุดเด่นเฉพาะตัว แต่จะเหมาะกับแต่ละบุคคลต่างกัน ขึ้นอยู่กับเป้าหมายการเรียน ความสนใจ และรูปแบบการเรียนที่น้องๆ ชอบค่ะ

British Curriculum (หลักสูตรอังกฤษ)

หลักสูตรอังกฤษเป็นระบบการศึกษาที่มีโครงสร้างชัดเจน และมีการวางแผนการเรียนเป็นขั้นตอน เพื่อวางรากฐานความรู้และเตรียมความพร้อมเข้าสู่การศึกษาระดับมหาวิทยาลัย

  • โครงสร้างการเรียน: แบ่งออกเป็น Key Stage ต่าง ๆ ตั้งแต่ Year 7–13
  • การวัดผล: เน้นการสอบมาตรฐาน เช่น IGCSE (Year 10–11) และ A-Level (Year 12–13)
  • ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน: ในช่วง A-Level นักเรียนจะเลือกเรียนประมาณ 3–4 วิชาที่ตนสนใจและถนัด เพื่อเจาะลึกและพัฒนาความเชี่ยวชาญในสาขานั้น ๆ
  • เหมาะกับใคร: น้องๆ ที่มีเป้าหมายชัดเจนในด้านวิชาการ และต้องการเส้นทางเรียนที่ตรงกับสาขามหาวิทยาลัยในอนาคต เช่น วิศวกรรม แพทยศาสตร์ หรือบริหารธุรกิจ

ข้อดีของหลักสูตรอังกฤษ

  • มีโครงสร้างการเรียนชัดเจนและเป็นระบบ
  • การสอบมาตรฐานช่วยประเมินผลได้อย่างตรงจุด
  • เส้นทางเข้าสู่มหาวิทยาลัยเป็นที่เข้าใจง่าย
  • เหมาะกับนักเรียนที่ต้องการพัฒนาความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน

American Curriculum (หลักสูตรอเมริกัน)

หลักสูตรอเมริกันมีความยืดหยุ่นสูง และเน้นการเรียนรู้แบบรอบด้าน ทำให้น้องๆ มีโอกาสพัฒนาทักษะในหลายด้านทั้งวิชาการและนอกห้องเรียน

  • โครงสร้างการเรียน: แบ่งออกเป็น Middle School และ High School (Grade 9–12)
  • การวัดผล: ประเมินผลตลอดปี (continuous assessment) พร้อมผลสอบมาตรฐาน เช่น SAT หรือ ACT
  • ความยืดหยุ่นในการเลือกวิชา: น้องๆ สามารถเลือกวิชาที่สนใจได้มากกว่า และยังมี Advanced Placement (AP) สำหรับผู้ที่ต้องการเรียนเชิงลึกและท้าทาย
  • เหมาะกับใคร: น้องๆ ที่อยากทดลองเรียนหลายด้านก่อนตัดสินใจเลือกเส้นทางมหาวิทยาลัย และต้องการพัฒนาทักษะรอบด้าน เช่น การคิดเชิงวิเคราะห์ การทำงานร่วมกับผู้อื่น และทักษะการสื่อสาร

ข้อดีของหลักสูตรอเมริกัน

  • มีความยืดหยุ่นและโอกาสเลือกวิชาหลากหลาย
  • เน้นการพัฒนาทักษะรอบด้าน
  • มีกิจกรรมนอกหลักสูตรหลากหลาย เช่น กีฬา ศิลปะ ชมรม และโครงการชุมชน
  • เหมาะกับนักเรียนที่ต้องการสำรวจความสนใจก่อนเลือกสาขาในมหาวิทยาลัย

ตารางเปรียบเทียบ

British CurriculumAmerican Curriculum
มีโครงสร้างการเรียนที่ชัดเจนและมุ่งเน้นการสอบวุฒิการศึกษาได้รับการยอมรับทั่วโลก เช่น IGCSE และ A Levelเปิดโอกาสให้นักเรียนได้เลือกเรียน วิชาเฉพาะทาง (specialised subject) ตามความสนใจ ช่วยให้นักเรียนสร้าง passion ในการเรียนรู้การศึกษาแบบ well-rounded ที่กว้างและครอบคลุมหลายด้านการเรียนวิชาแบบ Advance Program (AP) โดยเรียนเป็นเนื้อหาเตรียมเข้ามหาวิทยาลัยในวิชานั้นๆเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ลองเรียนในหลายสาขา เพื่อค้นหาความถนัดของตนเองมีความยืดหยุ่นสูงในการเลือกวิชา โดยเฉพาะในระดับ มัธยมปลาย
โรงเรียนตัวอย่าง
Brighton College
Concord College
The King’s School Canterbury
The Leys School Cambridge
Bosworth Independent School
Myddelton College
Queen Ethelburga’s Collegiate
Rossall School
Sidcot School
Bromsgrove School
Dulwich College
King’s Ely School
Kingwood School
CATS Boston Academy
EF Academy
Stevenson School
Wilbraham & Monson Academy
Annie Wright Schools
Kents Hill School
Special: ACS Cobham International School (โรงเรียนประจำในอังกฤษที่สอนหลักสูตร American Curriculum)
The Village School
Dunn School
Admiral Farragut Academy
Windermere Preparatory School

แล้วควรเลือกหลักสูตรไหนดี?

จริงๆ แล้ว ไม่มีหลักสูตรไหนที่ ดีที่สุด แต่มีหลักสูตรที่ เหมาะสมที่สุด สำหรับแต่ละบุคคล

  • หากน้องๆ ชอบ อิสระในการเรียนรู้ และสนุกกับการลองสิ่งใหม่ ๆ American Curriculum อาจเหมาะกว่า เพราะมีความยืดหยุ่นสูงและเปิดโอกาสให้สำรวจความสนใจได้หลากหลาย
  • หากน้องๆ ต้องการ เจาะลึกในวิชาที่ถนัด และมีเส้นทางวิชาการที่ชัดเจน British Curriculum อาจใช่ที่สุด เพราะเน้นการสอบมาตรฐานและการเรียนในเชิงลึก

การเลือกหลักสูตรไม่ใช่เรื่องของการตัดสินว่าแบบไหนดีกว่ากัน แต่เป็นเรื่องของการเลือกสิ่งที่สอดคล้องกับความสนใจ จุดแข็ง และเป้าหมายของน้องๆ
การเข้าใจความแตกต่างระหว่างหลักสูตรอังกฤษและอเมริกันจะช่วยให้น้องๆ และผู้ปกครองตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ และวางแผนการศึกษาต่อในต่างประเทศได้ตรงกับความต้องการมากที่สุด และหากน้องๆ คนไหนสนใจอยากปรึกษาเพิ่มเติม สามารถทักเข้ามาหาพี่ๆ IEC Abroad ได้เลยนะคะ

บทความอื่นๆ

ปรึกษา IEC Abroad ยินดีให้คำแนะนำทุกขั้นตอน

.
Blog Footer

.
Scroll to Top