การเรียนต่อประเทศอังกฤษ ในสาย Art & Design ถือว่ามาแรงอย่างต่อเนื่อง วันนี้พี่ๆ IEC Abroad เลยขอมาพูดถึงความแตกต่างของทั้ง 2 หลักสูตร เพื่อให้น้องๆสามารถลองประเมินตัวเองดูว่า ตนเองจะเหมาะกับทางไหนมากกว่ากัน รวมถึงรวบรวมตัวอย่างหลักสูตรด้านนี้มาให้แล้วค่ะ
How Different between Fine Art (Pure Art) and Applied Art (Design)?
Fine Art | Applied Art (Design) |
– จบไปอยากเป็น Artist Aesthetic > Practicality – ความสวยงามมาก่อนการใช้งาน Self- expression – ทำงานศิลปะเพื่อตอบสนองตัวเองหากผลงานเป็นที่สนใจ คนหรือบริษัทจะวิ่งเข้ามาหาเพื่อขอซื้อผลงาน หรือขอ Collab ด้วย – เรียน Fine Art ก่อน ถือว่าเป็นพื้นฐานที่ดี ที่จะฝึกความคิดสร้างสรรค์เพราะยังไม่มีบรีฟมาตีกรอบความคิด | – จบไปอยากเป็น Designer – Practicality > Aesthetic – การใช้งานได้จริง สำคัญกว่าความสวยงามออกแบบเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ ความต้องการของตลาด – มีการใช้ทักษะ Problem Solving , Design Thinking, Detail- oriented – คิดถึงเหตุผลมากกว่าฝั่ง Fine Art แต่อาจจะถูกกำหนด Creativity |
รู้ความต่างไปทำไม?
เพื่อไกด์น้องจากคาแรคเตอร์/ความสนใจ/ความถนัดว่าน้องเหมาะไปทางสาย Art หรือ Design มากกว่ากัน
ถ้าน้อง Independent มากๆอยากสร้างผลงานเพื่อตัวเอง = Art
ถ้าน้องอยากทำเพื่อช่วยแก้ปัญหาให้คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือเพื่อเน้นหาเงิน = Design (Majority)
Entry Requirement
• นอกจากการดูเรื่อง GPA หากเรียนต่อสายนี้มหาลัยจะดู Portfolio เพื่อเช็คความสนใจหรือความถนัดของน้อง ซึ่งมีผลต่อการได้ Offer
• Counselor สามารถช่วยเหลือน้องโดยการศึกษา Portfolio Guideline ของคณะนั้นๆแล้วช่วยให้ Feedback น้องได้เช่นกัน เพื่อปรับให้เข้ากับที่มหาลัยต้องการอยากจะเห็น
• ส่วนใหญ่ Portfolio ที่มหาลัยอยากดู ไม่ใช่ผลงานที่สวยงาม แต่อยากเห็น“Process Book” ที่โชว์วิธีการคิด การทดลองว่ากว่าจะได้ผลงานแต่ละชิ้น น้องมี Inspiration มาจากอะไร Concept คืออะไร Medium อะไร Execution เป็นแบบไหน
• โดยส่วนใหญ่แล้วน้องจะต้องผ่านการเรียน Foundation for Art Design ก่อน approx 1 ปี จึงเริ่มเข้า BA ตามที่เค้าถนัด
กลุ่ม Fine Arts
โปรแกรม Fine Art จะเหมาะมากๆสำหรับน้องที่สนใจด้าน Art หรือแม้กระทั่งจะไปต่อยอดด้าน Design ในอนาคต เหมาะกับน้องที่อยากลองทุกอย่างในการทำงานศิลปะ เพราะน้องจะได้ Explore & Experiment วิธีการสร้างงานศิลปะหลากหลายแบบโดยไม่ถูกตีกรอบความคิดสร้างสรรค์ มหาลัยจะให้ทดลองหลาย Medium และ Execution ตั้งแต่ painting, drawing, printmaking, sculpture, video, digital media แล้วค่อยไปเลือกสายที่ถนัดตอนปีท้ายๆ
หากเจอน้องที่มีความสนใจค่อนข้างชัด และอยาก Specific ไปเรียนสายที่ตัวเองชอบตั้งแต่แรก กลุ่ม Fine Art ก็มีให้เลือกหลายสาขาเช่นกัน
- กลุ่มวาดภาพ , Painting จิตรกรรม ,ภาพพิมพ์ (Printmaking)
- กลุ่ม Film & Photography
- กลุ่มงานปั้น (Sculpture)
- กลุ่มงานทอ (Craft, Textile)
กลุ่ม Applied Arts
1) Visual Communication , Communication Design
ถ้าฝั่ง Fine Art ควรจะเรียน BA(Hons) Fine Art เพื่อจะได้ Explore การทำศิลปะหลากหลายรูปแบบ
ฝั่งออกแบบก็มีโปรแกรมที่ชื่อว่า BA(Hons) Communication Design หรือ Visual Communication เหมือนกันที่เป็นที่นิยม เพราะนักเรียนจะได้เรียนรู้ภาพกว้างของการออกแบบเพื่อการสื่อสารว่าสามารถทำออกมาในรูปแบบใดได้บ้าง ไม่ว่าจะเป็น Graphic Design, Illustration, Advertising, Packaging, Typography
2) Product Design
กลุ่มการออกแบบที่ต้องทำความรู้จักกับ Form + Function + Materials มากขึ้น เน้นไปที่การใช้งานจริง มีหลักการในการเลือกใช้วัสดุ และนึกถึงประสบการณ์ของ User
• การเรียนออกแบบกลุ่มนี้จะเหมาะกับน้องที่ยังพอเก่งด้านคำนวณอยู่บ้าง เพราะต้องใช้สกิลการคำนวณสัดส่วน และยังมีการเรียนโปรแกรมที่ขึ้น 3D ก่อนที่ผลงานจะออกมาแบบจับต้องได้
3) Architecture / Interior Architecture
การเรียนออกแบบกลุ่มนี้จะเหมาะกับน้องที่ยังพอเก่งด้านคำนวณอยู่บ้าง เพราะต้องใช้สกิลการคำนวณสัดส่วน และยังมีการเรียนโปรแกรมที่ขึ้น 3D ก่อนที่ผลงานจะออกมาแบบจับต้องได้ เหมาะกับน้องที่เรียนได้ทั้งฝั่งคำนวณและศิลปะ แถมยังชอบศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับพื้นที่ว่ามีประวัติศาสตร์ความเป็นมายังไง เพื่อนำเรื่องราวไปประยุกต์ใช้ในการออกแบบตึกหรือออกแบบภายใน และต้องมีความถึกทนเพราะต้องตัดโมเดลบวกกับมีความประณีตใส่ใจดีเทลทุกจุด
4) Fashion
สายนี้ค่อนข้างตรงตัวเลยค่ะ โดยมีหลักสูตรเฉพาะทางให้เลือกเรียนด้วยตามความสนใจ เช่น ทางด้าน Jewellery Design หรือ Footware Design ค่ะ
รู้แบบนี้แล้ว อย่าลืมไปประเมินตัวเองว่าเราเหมาะกับเรียนต่อทางด้านไหนมากกว่ากันนะคะ หากสนใจเรียนต่อ อย่าลืมทักเข้ามาปรึกษาพี่ๆ ก่อนได้เลยนะคะ