Work and Study เรียนต่อพร้อมทำงานที่ต่างประเทศ คืออะไร ? ค่าใช้จ่ายเท่าไร ?
Work and Study คือ โครงการเรียนและทำงานที่ต่างประเทศ ด้วย “วีซ่านักเรียน” ที่ลงเรียนคอร์สเรียนภาษาอังกฤษ หรือคอร์สสายวิชาชีพ ไม่ว่าจะเป็น Certificate, Diploma, Co-op รวมไปจนถึงคอร์สปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก โดยสามารถ ทำงานพาร์ทไทม์ไปด้วยระหว่างเรียนได้ ตั้งแต่ 20-40 ชั่วโมง/สัปดาห์* เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย เช่น ค่าที่พัก, ค่าอาหาร, ค่าเดินทาง
ลักษณะของงานพาร์ทไทม์สำหรับนักเรียน ส่วนใหญ่จะเป็นงานด้านบริการ เช่น งานร้านอาหาร, งานต้อนรับลูกค้า, งานทำความสะอาด, งานโรงแรม, งานครัว และงานนวด ขึ้นอยู่กับทักษะด้านภาษาและความถนัดในการทำงานของแต่ละบุคคล
*จำนวนชั่วโมงการทำงานของนักเรียนขึ้นอยู่กับกฎของแต่ละประเทศ
Work and Study เลือกไปประเทศไหนได้บ้าง ?
มีหลายประเทศที่อนุญาตให้วีซ่านักเรียนสามารถทำงานพาร์ทไทม์ระหว่างเรียนได้ แต่สำหรับนักเรียนไทย ประเทศที่เป็นที่นิยม ได้แก่
- ออสเตรเลีย
- นิวซีแลนด์
- สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
- แคนาดา
- ไอร์แลนด์
- มอลต้า
ค่าใช้จ่าย Work and Study 6 เดือน ควรเตรียมงบเท่าไร ?
– ค่าเรียน 6 เดือน ~ 150,000-250,000 บาท
– ค่าธรรมเนียมวีซ่านักเรียน (อัปเดท: มิ.ย. 68)
- ออสเตรเลีย AU1,600
- นิวซีแลนด์ NZD750
- ดูไบ USD680
- แคนาดา CAD150
- ไอร์แลนด์ EUR60
- มอลต้า EUR40
– ค่าประกันสุขภาพนักเรียน 6 เดือน ~9,000-15,000 บาท
– ค่าตั๋วเครื่องบิน ~15,000-25,000 บาท
– ค่าที่พักเดือนแรก ~20,000-40,000 บาท
– ค่าใช้จ่ายส่วนตัวอื่นๆ เช่น ค่าอาหาร ค่าโทรศัพท์ ค่าเดินทาง ~15,000-50,000 บาท
สรุป: งบประมาณก้อนแรกสำหรับการไป Work and Study 6 เดือน ควรเตรียมไว้อย่างน้อย 300,000 – 400,000 บาท
เพื่อที่น้องจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายมากเกินไปในช่วงแรกที่ไปเดินทางไปถึง และอยู่ในระหว่างหางานพาร์ทไทม์
แต่ทั้งนี้ เมื่อได้งานพาร์ทไทม์ทำแล้ว จะช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายได้มากเลยค่ะ
*ค่าใช้จ่ายด้านบน เป็นเพียงการประมาณคร่าวๆ เท่านั้น อาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ ขึ้นอยู่กับโรงเรียน, คอร์สเรียน, ระยะเวลาเรียน, เมืองที่เลือกไป และไลฟ์สไตล์ของแต่ละบุคคลค่ะ
Work and Study จำกัดอายุไหม ?
เป็นอีกคำถามที่พบได้บ่อยที่สุดสำหรับเรื่อง “อายุของผู้สมัครเรียน” ประเด็นนี้ค่อนข้างละเอียดอ่อน เพราะไม่ควรมีใครแก่เกินเรียน แต่การจะไป Work and Study ผู้สมัครเรียนจำเป็นที่ต้องจะต้องขอ วีซ่านักเรียน ดังนั้น อายุของผู้สมัครเรียน จึงเป็นสิ่งที่สถานทูตนำไปพิจารณาประกอบการอนุมัติวีซ่าค่ะ
คอร์สเรียนภาษา / สายอาชีพ (Certificate, Diploma, Co-op Program)
เนื่องจากคอร์สเหล่านี้เป็นคอร์สทางเลือก ไม่ใช่การศึกษาภาคบังคับ แนะนำที่อายุผู้สมัครเรียนที่ 18-30 ปี (ไม่ควรเกิน 35 ปี) จะมีโอกาสผ่านวีซ่าที่สูงกว่า
แต่ถ้าหากกรณี อายุเกินแล้ว ก็ควรมีหลักฐานที่สามารถชี้แจงสถานทูตให้เห็นถึงแรงจูงใจที่ตัดสินใจไปเรียนต่อต่างประเทศที่ชัดเจนและมีเหตุผลน่าเชื่อถือ ไม่เช่นนั้น สถานทูตจะอาจมองว่ามีเจตนาใช้วีซ่านักเรียนผิดวัตถุประสงค์ และปฏิเสธวีซ่าได้
อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้สมัครเรียนที่อายุเกิน 35 ปี “ดูไบ” เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะไม่จำกัดอายุของผู้สมัคร และไม่นำหลักฐานทางการเงินมาประกอบการพิจารณาอนุมัติวีซ่า อีกทั้งยัง ทำงานพาร์ทไทม์ได้ ไม่จำกัดชั่วโมง อีกด้วย
ระดับปริญญา
อายุอาจจะมีน้ำหนักน้อยลงในการพิจารณาอนุมัติวีซ่า เมื่อผู้สมัครเรียนลงเรียนในระดับปริญญา ซึ่งจัดเป็น การศึกษาภาคบังคับ มีการเรียนการสอนที่เข้มข้น และมีราคาค่าเรียนที่ค่อนข้างสูง (เริ่มต้น 700,000 – 1,500,000 บาทต่อปี)
ดังนั้น โอกาสที่ผู้เรียนจะใช้วีซ่านักเรียนผิดวัตถุประสงค์จึงมีน้อยกว่าคอร์สทางเลือกมากค่ะ
Statement และ Bank Guarantee คืออะไร? จำเป็นต้องมีไหม ?
ในกระบวนการขอวีซ่านักเรียนของหลายๆ ประเทศ ผู้สมัครเรียนต้องแสดง “หลักฐานความมั่นคงทางการเงิน” ของ สปอนเซอร์ (ผู้สนับสนุนทางการเงิน) ต่อสถานทูตเพื่อยืนยันว่าผู้สมัครเรียนมีเงินเพียงพอในการใช้จ่ายตลอดจนเรียนจบ
ใครสามารถเป็นสปอนเซอร์ได้บ้าง?
– ตัวผู้สมัครเรียนเอง (ทำงานประจำ หรือเจ้าของธุรกิจ เสียภาษีอย่างถูกต้อง กรณีเป็น Freelance มีใบรายได้หัก 3%)
– พ่อแม่ หรือ ญาติพี่น้อง ทางสายเลือด
หลักฐานการเงินที่ต้องเตรียม
1. Statement (รายการเดินบัญชี) ย้อนหลัง 3-6 เดือน (แล้วแต่ประเทศ)
2. Bank Guarantee / Bank Certificate (หนังสือรับรองสถานภาพทางการเงิน) เพื่อยืนยันยอดเงินคงเหลือล่าสุด (แปลงหน่วยเงินเป็นหน่วยเงินของประเทศที่ต้องการขอวีซ่า)
โดยเอกสารทั้ง 2 อย่างต้องได้รับการรับรองจากธนาคาร และ มีอายุเพียง 1 เดือน ดังนั้น จึงควรขอหลักฐานการเงินช่วงใกล้ๆ ยื่นวีซ่าจะดีที่สุดค่ะ
ยอดเงินโชว์ของ Statement และ Bank Guarantee
ประเทศ |
6 เดือน | 12 เดือน |
Australia |
600,000 บาทขึ้นไป |
850,000 บาทขึ้นไป |
New Zealand | 550,000 บาทขึ้นไป |
800,000 บาทขึ้นไป |
Canada (Co-op) |
1,200,000 บาทขึ้นไป |
|
UAE (Dubai) |
ไม่ขอดูหลักฐานทางการเงิน |
ต้องมีคะแนนสอบภาษาไหม ?
สำหรับน้องๆ ที่ลงเรียน “คอร์สภาษาอังกฤษ” ส่วนใหญ่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีคะแนนสอบภาษาอังกฤษอย่างเป็นทางการ (เช่น IELTS, Duolingo, PTE หรือ TOEFL)
น้องสามารถ สอบวัดระดับภาษา (Placement Test) ที่โรงเรียนสอนภาษาได้เลย เพื่อที่ทางโรงเรียนจะจัดให้เข้าชั้นเรียนที่เหมาะสมกับระดับภาษาอังกฤษของผู้เรียนที่สุด ทำให้มั่นใจได้ว่าจะได้เรียนในคลาสที่ท้าทาย แต่ไม่ยากจนเกินไปค่ะ
*ยกเว้น
ไอร์แลนด์ 🇮🇪 : ต้องแนบผลคะแนนสอบภาษาอังกฤษอย่างเป็นทางการ (IELTS/Duolingo/TOEFL) ในเอกสารประกอบการยื่นวีซ่า
แคนาดา 🇨🇦 : กรณีไปเรียน Co-op Program (เรียน 6 เดือน + ฝึกงาน 6 เดือน) ควรมีคะแนน IELTS อย่างน้อย 5.5-6.0 ขึ้นไป
ออสเตรเลีย 🇦🇺 : กรณีไปเรียน Vocational Course (คอร์สสายอาชีพ) ควรมีคะแนน IELTS อย่างน้อย 6.0 ขึ้นไป
เรียนต่อระดับปริญญา 🎓 : จะต้องมีผลคะแนน IELTS ตามที่แต่ละมหาวิทยาลัยกำหนด เช่น ปริญญาตรี ควรมีคะแนน IELTS 6.0 ขึ้นไป, ปริญญาโท หรือ ปริญญาเอกควรมีคะแนน IELTS 6.5 ขึ้นไป
กรณีได้ คะแนนภาษาอังกฤษต่ำกว่าเกณฑ์ที่สถาบันกำหนด น้องสามารถลงเรียนคอร์สภาษา EAP (English for Academic Purpose) เพิ่มได้ โดย EAP 10 สัปดาห์ = IELTS 0.5 Band ทั้งนี้ นักเรียนไม่สามารถลงเรียน EAP เกิน 20 สัปดาห์ได้ ดังนั้น คะแนน IELTS ที่ต่ำที่สุดที่ควรมีคือต่ำกว่า Band ที่มหาวิทยาลัยกำหนดไม่เกิน 1.0 Band ค่ะ
ตัวอย่าง: สถาบันกำหนดคะแนน IELTS ขั้นต่ำที่ 6.5 แต่น้องสอบ IELTS ได้ 5.5 = น้องสามารถลงเรียน EAP เพิ่ม 20 สัปดาห์ ก่อนเริ่มเรียนคอร์สหลัก โดยไม่ต้องสอบ IELTS ใหม่ค่ะ
Work and Study หางานยังไง ?
การไป Work and Study น้องๆ จะต้อง หางานพาร์ทไทม์ด้วยตนเอง โดยสามารถสมัครงานผ่านเว็บไซต์หางานของประเทศนั้นๆ หรืออาจจะไปยื่นใบสมัครด้วยตนเองตามร้านหรือธุรกิจต่างๆ ที่เปิดรับสมัครพนักงาน
นอกจากนี้ ในบางเมืองที่มีชุมชนคนไทยอยู่จำนวนมาก มักจะมีกลุ่ม Facebook หรือกลุ่ม Line ที่นายจ้างคนไทยจะมาโพสต์หาพนักงาน ซึ่งก็นับเป็นอีกช่องทางที่สามารถจะสมัครงานได้เช่นกันค่ะ
สำหรับโครงการ Co-op Program ของประเทศแคนาดา ในช่วงของการฝึกงาน (Internship) สถาบันจะเป็นผู้จัดหาตำแหน่งงานให้ น้องๆ ไม่ต้องหางานเองนะคะ
สิ่งที่ควรเตรียมไว้ให้พร้อม ก่อนเริ่มหางานเมื่อไป Work and Study
1. Resume (ภาษาอังกฤษ)
มีรายละเอียดผู้สมัครที่ชัดเจน อ่านเข้าใจง่าย แสดงให้นายจ้างเห็นถึงทักษะและประสบการณ์การทำงาน และช่วงวัน-เวลาที่สามารถทำงานได้
2. เลขประจำตัวผู้เสียภาษี
เนื่องจากในทุกประเทศจะมีการหักภาษีเงินได้ (ยกเว้น ดูไบ) ดังนั้น ในการรับค่าจ้างอย่างถูกกฎหมาย เรามีความจำเป็นที่จะต้องแจ้งเลขประจำตัวผู้เสียภาษีให้กับนายจ้างเพื่อใช้ในการหักภาษี ซึ่งการขอเลขนี้สามารถทำได้เมื่อเราเดินทางไปถึงประเทศปลายทางแล้วค่ะ
ชื่อเรียกเลขประจำตัวผู้เสียภาษีของแต่ละประเทศ
- ออสเตรเลีย – Tax File Number (TFN)
- นิวซีแลนด์ – Inland Revenue Department (IRD)
- แคนาดา – Social Insurance Number (SIN)
- ไอร์แลนด์ – Tax Registration Number (TRN)
ภาษายังไม่เป๊ะ มองหางานแบบไหนดี ?
สำหรับน้องที่ยังไม่มั่นใจในสกิลภาษาอังกฤษ ในการเริ่มต้นสมัครงานพาร์ทไทม์ที่ต่างประเทศ แนะนำให้ลองสมัครกับร้านอาหารหรือกิจการของคนไทยในเมืองนั้นๆ เช่น ร้านอาหาร, ร้านนวด, ร้านขายของชำไทยก่อนได้
หรืออาจลองสมัครทำงานที่ไม่ต้องใช้ภาษามากนัก เช่น งาน Cleaner ทำความสะอาด, Housekeeper ในโรงแรม, Kitchen Hand ในครัว และเมื่อเริ่มใช้ภาษาอังกฤษได้คล่องมากขึ้น จึงค่อยพิจารณาเปลี่ยนไปทำงานอื่นๆ ที่มีโอกาสได้ใช้ภาษาเพิ่มขึ้นค่ะ
────────────────────